วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แอปเปิ้ล-ลดน้ำตาลในเลือดและความอยากอาหารได้


   แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่มีรสดี กลิ่นหอม สีสวย เจริญเติบโตได้ดีในภูมิภาคที่มีอากาศหนาวเย็น ซึ่งประเทศไทยปลูกกันมากในภาคเหนือ

      แอปเปิ้ลมีสารที่สำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ขนิดละลายน้ำ ที่มีชื่อว่า เพคติน และยังมีกรด 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งจะช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน แต่ที่น่าสนใจสำหรับคุณผู้หญิงทั้งหลายก็คือเจ้าตัวเพคติน นี้มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนักและลดโคเลสเตอรอลว่ากันว่าคุณหิวจัดแต่ยังไม่ถึงเวลาอาหาร

       แอปเปิ้ลเพียงหนึ่งลูกสามารถช่วยลดความหิวได้  เพราะแอปเปิ้ลมีแป้งและน้ำตาลในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 % ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็วและนำไปใช้ประโยชน์ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาทีดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลง ทำให้ไม่รู้หงุดหงิด หรือ อ่อนเพลีย

       แอปเปิ้ลเพียง 2-3 ผลต่อวัน ช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้ เพราะแอปเปิ้ลมีเพคตินที่เป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ผลการวิจัยบอกว่า เมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมันและแยกโคเลสเตอรอลออกมาเสร็จสิ้นแล้ว เพคตินจากแอปเปิ้ลจะไปคอยดักจับโคเลสเตอรอลเหล่านั้นและพาทิ้งก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าร่างกาย และยังพบว่าแอปเปิ้ลลดโคเลสเตอรอลในผู้หญิงได้ดีกว่าผู้ชาย

      แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานและผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำตาลในเลือดมาก เพราะเมื่อรับประทานอาหารเข้าไปอาหารแต่ละชนิดจะถูกย่อยสลายและดูดซึมผ่านผนังกระเพาะลำไส้เข้าสูกกระแสเลือด ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะเพิ่มช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของอาหารนั้น ๆ เช่น ถ้ารับประทานน้ำผึ้ง น้ำตาลในเลือดจะขึ้นอย่างรวดเร็วในทันที แต่สำหรับแอปเปิ้ลนั้นถึงแม้จะมีน้ำตาลธรรมขาติในเนื้อแอปเปิ้ลมาก แต่ก็ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ เท่านั้น 

     คนที่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์มากๆ จะมีโอกาสเกิดเบาหวานต่ำกว่าคนที่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์น้อยๆ และสำหรับคนที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ไฟเบอร์จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกด้วย แอปเปิ้ลมีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำสูงมาก จึงเหมาะสำหรับคนที่เป็นเบาหวาน และมีรายงานว่าผู้ที่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์มาก จะเกิดอาการความดันโลหิตสูงได้ยากกว่าคนทีรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์น้อยๆ

ที่มา : สำนักงาน ก ศ น.จังหวัด ฉะเชิงเทรา

วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

กินเค้กอย่างไร ไม่ให้อ้วน มาดูกันค่ะ


ผู้หญิงกับการกินเค้กเป็นของคู่กัน ไม่ว่าจะมาล่อใจช่วงเวลาไหน รับรองคุณผู้หญิง ก็ควบคุมความอยากของตัวเองไม่ได้แน่ๆ  วันนี้เรามีเคล็ดลับการกินเค้กมาฝาก คอนเฟิร์มเลยว่าถึงจะกินเค้กทุกวันก็ไม่มีทางอ้วนแน่นอนและก็ไม่ต้องว่าจะต้องมาลดน้ำหนักที่หลังให้เหนื่อยด้วย

พูดถึงการกินเค้กอย่างไรไม่ให้อ้วน สิ่งแรกที่คุณผู้หญิงควรรู้ไว้เลยว่าต้องกินให้ “ถูกเวลา” ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการกินเค้กนั้นคือ “ช่วงเช้า” อย่าง ที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า อาหารเช้ามีความสำคัญต่อร่างกาย ตอนเช้าเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายทำงานมากที่สุด เมื่อเรากินอาหารเข้าไปทำให้สามารถนำอาหารที่เรากินไปใช้ประโยชน์ได้อย่าง เต็มที่

ดังนั้น คุณผู้หญิง ที่ชอบกินเค้ก ให้นำมาเป็นอาหารที่ให้พลังงานในมื้อเช้า เพราะในช่วงเช้าระดับน้ำตาลในเลือดจะต่ำ  ไม่ว่าใครก็ตามที่ตื่นนอนใหม่ ๆ สมองจะไม่สามารถทำงานได้คล่องแคล่วในช่วงเวลานี้ เพราะจะมีการตอบสนองที่ไวต่อน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นพิเศษ และน้ำตาลเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย

ถ้าเรากินเค้กในมื้อสาย หรือคิดง่าย ๆ ว่าเป็นของว่างระหว่างมื้อในตอนกลางวัน จะทำให้ร่างกายไม่สามารถใช้พลังงานที่ได้จากการกินเค้กหมดไป ร่างกายของจะสามารถใช้พลังงานให้หมดไปด้วยการทำกิจกรรมใน 1 วัน โดยการเคลื่อนไหว ยิ่งเคลื่อนไหวมากร่างกายจะดึงพลังงานจากเค้ก 1 ชิ้นให้หมดไปในช่วงก่อนเที่ยงได้

ที่มา  www.only-herb.net

ลดน้ำหนักเพื่อให้ใบหน้าเรียวเล็ก

คนรู้จักที่ห่างหายกันไปนาน พอกลับมาเจอกันอีกทีสงสัยบ้างไหมคะว่า ทำไมชอบทักกันเกี่ยวกับเรื่องรูปร่าง เช่นว่า ผอมลงนะ หรือ อวบขึ้นหรือเปล่า นอก จากการสังเกตจากรูปร่างที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ก็ยังสังเกตุจากใบหน้าได้ด้วยว่าซูบเซียวหรืออวบอูมขึ้นมากเท่าใด ซึ่งใบหน้านับว่าเป็นปราการด่านแรกที่เราจะมองเมื่อพบปะผู้คนเลยทีเดียว

สาว ๆ หลายคนพอน้ำหนักมีการขึ้นลง ส่วนที่เปลี่ยนแปลงนำไปก่อนเป็นอันดับแรกก็คือใบหน้านี่เอง ก็เลยพากันระวังเรื่องน้ำหนักขึ้นเอามาก ๆ เพราะแค่เข็มตาชั่งปัดขึ้นนิดเดียว หน้าก็บวมจนแทบจะมองไม่เห็นคางอยู่แล้ว และแน่นอนหากจะลดสัดส่วนเฉพาะที่ใบหน้าก็คงเป็นไปได้ยาก แต่ หากสาว ๆ ได้ลองทำตามคำแนะนำที่หยิบมาฝากกันในวันนี้ก็จะช่วยให้คุณสาว ๆ ลดน้ำหนักได้พร้อมกับทำให้หน้าบวม ๆ เรียวเล็กลงเป็นอันดับแรกด้วย อ๊ะ ๆ อยากรู้แล้วล่ะสิว่าต้องทำยังไงบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

1. ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร

หากคุณเป็นคนดื่มน้ำน้อย รีบเปลี่ยนมาจิบน้ำบ่อย ๆ ให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 ลิตรเถอะค่ะ เพราะร่างกายที่ได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะพยายามกักเก็บน้ำเอาไว้ภายในให้มากที่สุด สิ่งที่ตามมาก็คืออาการบวมน้ำที่มือ เท้า และใบหน้านั่นเอง หากดื่มน้ำได้พอดีกับความต้องการของร่างกาย ระบบภายในร่างกายก็จะทำงานได้ปกติ มีการกักเก็บและระบายน้ำออกมาอย่างสมดุล ไม่ต้องกลัวหน้าอูมด้วยอาการบวมน้ำแน่นอนค่ะ

2. ทานผักผลไม้แทนขนมขบเคี้ยว

ลองเปลี่ยนพฤติกรรมทานขนบขบเคี้ยวระหว่างวัน มาเป็นการทานผักหรือผลไม้แทน นอกจากจะได้น้ำและความหวานตามธรรมชาติแล้ว ยังได้เซลลูโลสซึ่งทำให้อยู่ท้องไปจนถึงมื้ออาหาร ซึ่งจะช่วยให้คุณลดการบริโภคแป้งในอาหารมื้อนั้นได้ง่ายขึ้นด้วย และหากว่าคุณกลัวจะอ้วนจากน้ำตาลที่ได้จากผักและผลไม้แล้วล่ะก็ เลิกกังวลไปได้เลยค่ะ ในขนมที่เรามักจะทานกันนั้นมีน้ำตาลเยอะกว่าในผักผลไม้เป็นไหน ๆ แถมแคลอรี่ก็สูงกว่าเห็น ๆ ที่สำคัญคุณเคยได้ยินว่าใครอ้วนเพราะกินผลไม้หรือเปล่าล่ะ

3. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น เหล้า เบียร์ ไวน์ บรั่นดี ฯลฯ เพราะอย่างที่รู้กันดีว่าแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุสำคัญของการบวมน้ำ แถมยังมีปริมาณแคลอรี่สูงกว่าเครื่องดื่มทั่ว ๆ ไปอีกด้วย


4. เสริมแคลเซียมให้ร่างกายมากกว่าที่เคย

ในหนึ่งวันร่างกายต้องการแคลเซียมไม่ต่ำกว่า 1,000 มิลลิกรัม เพื่อช่วยให้กระบวนการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ คุณจะได้แคลเซียมตามปริมาณที่ร่างกายต้องการจากนม 3 แก้ว หรือโยเกิร์ต 800 กรัม หรือได้จากการทานปลา ซึ่งปลากระป๋องเองก็ให้แคลเซียมได้ดีเช่นกัน รวมทั้งถั่วต่าง ๆ ก็ด้วย

5. ลดปริมาณพลังงานลงวันละ 500 แคลอรี่

ในการลดน้ำหนักทุก ๆ 0.5 กิโลกรัม คุณต้องกำจัดพลังงานให้ได้ 3,500 แคลอรี่เลยทีเดียว เพราะฉะนั้น ลองเริ่มทำให้ได้จากวันละ 500 แคลอรี่ ดูก่อนก็ได้ค่ะ ซึ่งทำได้ง่าย ๆ โดยการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญพลังงานไปสัก 250 แคลอรี่ จากการเดินเร็ว 30 นาที หรือการออกกำลังกายหนัก 20 นาที และกำจัดอีก 250 แคลอรี่จากมื้ออาหารของคุณ โดยปรับเปลี่ยนจากพฤติกรรมทานของหวานหลังอาหารของตัวเอง เช่น อาจเปลี่ยนจากไอศกรีมเป็นโยเกิร์ตแช่แข็ง จากเค้กเป็นผลไม้อบแห้งแทน ลองทำกันดูนะคะ

6. ลดอาหารรสเค็ม

ยิ่งทานอาหารที่มีรสเค็มมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เกิดอาการบวมน้ำได้มากเท่านั้น เนื่องจากร่างกายต้องเก็บกักน้ำเอาไว้เพื่อขับโซเดียมที่ได้จากความเค็มออก มา เพราะฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด ของหมักดอง อาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไส้กรอกและแฮม รวมถึงมันฝรั่งทอดกรอบต่าง ๆ ด้วย นอกจากจะช่วยลดสาเหตุของอาการบวมน้ำได้แล้ว ยังทำให้คุณห่างไกลจากโรคความดันโลหิตสูงด้วยค่ะ

7. ออกกำลังกาย

หากคุณลดน้ำหนักด้วยการควบคุมการทานอาหารแต่เพียงอย่างเดียว ถึงน้ำหนักจะลดลงแต่จะทำให้ผิวหนังของคุณดูเหี่ยวเหลว ไม่กระชับสดใส เพราะฉะนั้นจึงควรออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อควบคู่ไปด้วยค่ะ จะได้มีน้ำหนักที่พอดีและร่างกายที่ฟิตเฟิร์มด้วย


8. บริหารกล้ามเนื้อที่หน้า

ออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อฟิตแอนด์เฟิร์มกันไปแล้ว คราวนี้ก็มาบริหารกล้ามเนื้อที่ใบหน้ากันบ้าง เพื่อที่ใบหน้าจะได้กระชับไงคะ ด้วยการ

 ฉีกยิ้มกว้าง ๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อตึงตัว จากนั้นพูดคำว่า เอ,อู ยาว ๆ
 ทำปากจู๋เหมือนอมบ๊วยค้างไว้แล้วนับ 1-5 ในใจ
 อมลมที่แก้มทีละข้างให้ป่อง ทำสลับกันซ้ายขวา
 ฉีกยิ้มทีละข้างซ้ายและขวา พยายามยกมุมปากขึ้นให้มากเท่าที่คุณทำได้

ที่มา  http://www.only-herb.net

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

5 เมนูอาหารเช้าลดความอ้วนง่ายๆ


 มื้อเช้าก็เป็นมื้อสำคัญที่สาวๆ ไม่ควรมองข้ามนะคะ บางคนอยากผอม อยากลดน้ำหนัก อย่าคิดที่จะอดอาหารเชียวนะ บางคนอาจทรมานตัวเองด้วยการอดมื้อกลางวันหรือมื้อเย็น แต่มื้อที่คุณขาดไม่ได้เลยนั้นคือ อาหารเช้า และนี่คือเมนูอาหารเช้าที่ช่วยคุณได้ในช่วงลดน้ำหนักแบบได้ผลอย่างแน่นอน

1. ข้าวโอ๊ต

เป็นหนึ่งในเมนูแนะนำของมื้อเช้าเลย เหมาะกับคนทุกวัยและทุกรูปร่าง เป็นตัวช่วยสำคัญในการทำความสะอาดระบบการย่อยในทางเดินอาหาร เรียกได้ว่าเคลียร์พื้นที่ในลำไส้นั่นแหละ ช่วยลดปริมาณระดับคอเลสเตอรอลที่ร่างกายจะได้รับเข้ามา ข้าวโอ๊ตหนึ่งถ้วยใส่นม หรือเติมช็อกโกแลตด้วยเล็กน้อยก็พอช่วยให้คุณอิ่มท้องได้แล้ว คาร์โบไฮเดรตในข้าวโอ๊ตช่วยเติมพลังให้คุณได้โดยที่ไม่มีแคลอรีสูงด้วย

2. ผลไม้สด

เริ่มต้นเช้าวันใหม่ เติมความสดชื่นด้วยผลไม้สด ๆ ชุ่มฉ่ำ เป็นวิธีธรรมชาติที่ช่วยลดไขมันส่วนเกินในร่างกายและขจัดสารพิษตกค้าง องุ่นสักพวง แอปเปิ้ลสักลูก หรือกีวีฝาน ช่วยให้ทั้งพลังงานและเติมความสดชื่น กินคู่กับนมหรือกาแฟสักแก้ว ก็จะได้สุดยอดอาหารเช้าไดเอ็ตแล้ว

3. ซีเรียลกับนม

สองคู่หูแสนอร่อย โดยเฉพาะสำหรับเด็ก ๆ คอร์นเฟล็กซ์กับนมอย่างง่าย ๆ นี้ให้พลังงานกับร่างกายคุณได้แน่นอน โดยไม่เพิ่มไขมันที่คุณย่อมไม่ต้องการ อาจเติมผลไม้ลงไปสักหน่อย เช่น พีช เบอร์รี่ หรือแอปเปิ้ล เป็นอาหารเช้าอย่างง่าย ๆ ที่ดีต่อการไดเอ็ตอย่างมาก

4. สลัดผัก

เหมาะกับช่วงหน้าร้อนอาจเป็นเมนูที่น่าเบื่อสำหรับบางคน แต่ก็ไร้ไขมันส่วนเกินนะ กินคู่กับผลไม้และนมสักหน่อยก็ช่วยให้คุณรู้สึกกระฉับกระเฉงได้ การกินผักสดตั้งแต่หัววันเป็นเรื่องดีมาก เพราะเป็นการเปิดทางให้ระบบย่อยอาหารนั้นโล่งสะดวก พร้อมรับอาหารในตลอดทั้งวันที่เหลือ

5. มิลค์เชค

นม ชา หรือกาแฟปั่นนั้น เหมาะกับคนที่ชอบดื่มพวกชา และกาแฟมาก เพราะให้แคลอรีค่อนข้างสูงพอที่จะเติมพลังให้คุณ แต่ต้องคอยควบคุมน้ำตาล อย่าให้หวานเกินไปล่ะ เพราะจะกลายเป็นเพิ่มน้ำหนักให้คุณได้ 

ที่มา Lisa

มะนาวช่วยลดน้ำหนัก


"มะนาว" ถูกกล่าวขานว่ามีสรรพคุณในการลดความอ้วนได้อย่างดีที่สุด หากคุณทำตามกฎหลักทั้ง 3 ข้อนี้ คุณจะน้ำหนักลดลงได้ดั่งใจปรารถนา
1. ดื่มน้ำมะนาวกับน้ำอุ่นทุก ๆ เช้า
เพื่อกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานดียิ่งขึ้น มะนาวเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด ไม่เพียงแต่จะดีสำหรับช่วยลดไข้ได้ แต่มันยังมีผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยแอริโซนา แนะนำมาว่า ใครที่กินผลไม้และผักที่มีวิตามินซีในปริมาณที่มาก จะมีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร และจะช่วยให้น้ำหนักลดได้ดีกว่าวิธีอื่น ๆ อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น น้ำมะนาวยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมให้กักเก็บเอาไว้ในเซลล์ไขมัน ผลวิจัยยังแสดงอีกว่า แคลเซียมที่มีอยู่ในเซลล์ไขมันปริมาณมาก ๆ จะช่วยเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้น
2. รับประทานผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ 5 ชนิด
เพราะผักและผลไม้ทุกประเภท จะมีปริมาณแคลอรีที่น้อยมาก แต่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ เส้นใย และสารอาหารที่ครบครัน จะช่วยในการปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ช่วยให้ระบบประสาททำงานอย่างสงบลง
3. ปรับสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด
โดยการบีบน้ำมะนาวลงไปในมื้ออาหารทุกมื้อ หรือผสมเปลือกมะนาวลงไปในซุปหรือสลัด และบีบมะนาวเพียงเล็กน้อยโปรยลงบนเนื้อปลา และเนื้อไก่ก่อนรับประทาน แล้วจะรู้ว่ามะนาวคือเส้นใยที่มหัศจรรย์ที่สุด เพราะมะนาวจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงด้วย
นอกจากนี้ผลการศึกษาของวิทยาลัย Journal of the America College of Nutrition รายงานว่า คาร์โบไฮเดรตที่พบในผิวเปลือกของมะนาว จะสามารถกำจัดความอยากกินให้ลดลงได้ถึง 4 ชั่วโมง เปลือกมะนาวเป็นแหล่งรวมไฟเบอร์ที่ดีที่สุด ช่วยให้ระบบย่อยอาหารสามารถดูดซึมน้ำตาลได้เร็วยิ่งขึ้น หลังจากที่คุณกินมัน คุณจะรู้สึกอิ่มไปอีกนานเลยทีเดียว

ที่มา : womanplus

สูตรลดน้ำหนัก 5- 9 กิโลกรัม ใน 1 สัปดาห์


 การลดน้ำหนักตามสูตรนี้นั้น บางคนอาจลดได้มาก ได้น้อย แล้วแต่สรีระ และแล้วแต่กิจกรรมที่ทำในแต่ละวันด้วยนะคะ และควรออกกำลังกายควบคู่กับการควบคุมอาหารไปด้วย การปรับสูตร สามารถปรับได้ตามต้องการ แต่ควรคำนึงว่า ต้องรับประทานอาหารวันนึงให้ครบ 5 หมู่ด้วยค่ะ

สำหรับสูตรนี้ ต้องงดของมัน ของทอดด้วยนะคะ ก่อนรับประทานอาหารทุกมือ ควรดื่มน้ำก่อน 2 แก้ว



ควรนอนเวลา 1ทุ่ม คึ่ง ตื่น ตี 5 ครึ่ง
**** เวลา ทานอาหารที่ดี *****
เช้า เวลา 7.30 – 9.00 น.
กลางวัน เวลา 11.30-12.30น.
เย็น เวลา 15.00-16.30 น.

วันที่ 1

เช้า : น้ำผลไม้คั้น หรือ โยเกิร์ต 1 ถ้วย
กลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง
เย็น : สลัดผัก

วันที่ 2

เช้า : น้ำผลไม้คั้น หรือ โยเกิร์ต 1 ถ้วย
กลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง
เย็น : สลัดผัก

วันที่ 3

เช้า : กาแฟไม่ใส่น้ำตาล หรือ โยเกิร์ต 1 ถ้วย
กลางวัน : เกาเหลาลูกชิ้น 1 ชาม (หมู, เนื้อ )
เย็น : สลัดผัก

วันที่ 4

เช้า : น้ำผลไม้คั้น หรือกาแฟดำและขนมปัง 1 แผ่น
กลางวัน : สลัดผัก และไก่ย่าง 1 ชิ้น
เย็น : โยเกิร์ต 1 ถ้วย

วันที่ 5

เช้า : น้ำผลไม้คั้น หรือ กาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย
กลางวัน : ส้มตำ และไก่ย่าง 1 ชิ้น
เย็น : สลัดผัก

วันที่ 6

เช้า : น้ำผลไม้คั้น หรือ กาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย
กลางวัน : ปลานึ่ง หรือ ปลาเผา ไม่จำกัด
เย็น : สลัดผัก

วันที่ 7

เช้า : ข้าว 1 ทัพพี และเนื้อ 1 ชิ้นหรือไข่ต้ม 1 ฟอง
กลางวัน : เกาเหลาลูกชิ้น 1 ชาม (หมู, เนื้อ)
เย็น : สับปะรด 1 ชิ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.tlcthai.com ค่ะ

การออกกำลังกายสำหรับคนอ้วน



คนอ้วนเริ่มต้นออกกำลังกายเบาๆก่อนเพื่อปรับร่างกายให้เคยชิน ซึ่งหลักการออกกำลังกายของคนอ้วนมีดังนี้ค่ะ

1.    ถ้าใช้วิธีออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญแคลอรี่ให้ได้ผลจะต้องฝึกให้ใช้พลังงานวันละ 500 แคลอรี่ (เช่น วิ่งเหยาะติดต่อกัน 30-45 นาที , เต้นแอโรบิคแดนซ์ 45 นาที, เล่นฟุตบอล 60 นาที, ว่ายน้ำ 30 นาที) จะสามารถลดน้ำหนักได้สัปดาห์ละประมาณ ครึ่งกิโลกรัมค่ะ

2.    ถ้าใช้วิธีออกกำลังกายควบคู่กับการจำกัดอาหารควรฝึกออกกำลังกายที่ใช้พลังงานวันละ 250 แคลอรี่ค่ะ (วิ่งเหยาะประมาณ 15 นาที , แอโรบิคแดนซ์ 25-30 นาที, ว่ายน้ำ 12-15 นาที, เดินเร็ว 45 นาที) และตัดพลังงานออกจากอาหารวันละ 250 แคลอรี่ค่ะ

3.    การออกกำลังกายควรใช้กล้ามเนื้อชิ้นใหญ่ ซึ่งได้แก่ บริเวณลำตัว, แขน, ขา และหลัง

4.    การออกกำลังกายที่จะเผาผลาญไขมันได้แท้จริงต้องออกกำลังกายเป็นเวลา 2 ชั่วโมงขึ้นไปนะคะ เช่น วิ่งมาราธอน ดังนั้นการออกกำลังกายใด ๆ ที่อ้างว่าละลายไขมันจึงเป็นไปไม่ได้ เพราะไขมันจะถูกเผาผลาญต้องเป็นไปตามกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเคมีภายในร่างกาย การใช้เครื่องปั่นตะโพก,สายรัดหน้าท้อง, แผ่นยางร้อนวางไว้ที่หน้าท้อง การบริหารกายเฉพาะส่วน เช่น ลุก-นั่ง (ซิต-อัพ) จึงไม่มีผลในการเผาผลาญไขมัน ซึ่งถ้าจะใช้วิธีการออกกำลังกายในลักษณะนี้คนอ้วนทั่วไปจะทำไม่ได้ เนื่องจากต้องใช้ความพยายามสูง และอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอันเป็นผลมาจากความไม่เคยชินกับสภาพการฝึกหนักเช่นนี้ค่ะ

5.    ควรปรับวิถีชีวิตให้เป็นคนที่มีความคล่องแคล่วว่องไว เดินแทนการใช้รถยนต์หรือลิฟต์ โดยเฉพาะเวลาหลังรับประทานอาหารควรได้เดินยืดเส้นยืดสายเพื่อช่วยสร้างนิสัยให้เป็นคนคล่องตัวและมีความกระฉับกระเฉง

6.    การออกกำลังสำหรับคนอ้วนนั้นต้องระวังการกระแทกหรือการกระโดด ซึ่งจะทำให้ข้อเข่าอักเสบได้เพราะทานแรงกดของน้ำหนักตัวที่กดลงมาตรงข้อเข่าไม่ได้ กระโดดเชือกจึงไม่เหมาะสำหรับคนอ้วนค่ะ

7.    การออกกำลังกายที่ดีสำหรับคนอ้วนที่เริ่มต้นออกกำลังกายหรือจะใช้ตลอดไปนั้นก็คือ การเดินทุกวัน วันละ 30 นาทีติดต่อกันค่ะ เดินในลักษณะเดินเร็ว แกว่งแขนให้สลับกับเท้าที่ก้าวเดิน สาวเท้ายาว เหวี่ยงแขนสูง จะเดินช่วงเช้าหรือเย็นก็ได้ 

8.    ถ้าเป็นการเล่นกีฬาเราควรอบอุ่นร่างกายก่อนเล่น 5 นาทีนะคะ ฝึก 20-25 นาที และผ่อนคลายอีก 5 นาที เช่นว่ายน้ำ แบดมินตัน เทเบิลเทนนิส เทนนิส ฝึกให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง การเล่นกอล์ฟสัปดาห์ละ 1 ครั้งไม่ได้ผลดีต่อการลดน้ำหนัก เนื่องจากขาดความต่อเนื่องในเรื่องความสม่ำเสมอของเวลา

9.    การเลือกกิจกรรมการออกกำลังกายนั้นถ้าเลือกได้หลากหลายวิธี วิธีที่ง่าย วิธีที่สะดวก ทำแล้วใจสบาย ฝึกแล้วได้ผลดีมีความก้าวหน้า ทำตามความถนัดและความสนใจจะเกิดแรงจูงใจให้ฝึกด้วยความสนุกสนานพึงพอใจและทำให้ฝึกได้ต่อเนื่อง ไม่เลิกหรือถอนตัวกลางคันเพราะเซ็งหรือเบื่อหน่ายไปเสียก่อน

10.    สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนอ้วนก่อนเข้าโปรแกรมออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา ควรไปพบแพทย์ตรวจสุขภาพเพื่อทราบข้อจำกัดของตัวเอง จะได้ป้องกันและฝึกด้วยความปลอดภัย

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มาลดต้นแขนและต้นขา เพื่อหุ่นเพรียวสวยกันเถอะ


สาวๆที่อยากหุ่นสวยอย่างพวกเรา จะมามัวแต่ไดเอทอย่างเดียวไม่ได้นะคะ ยังไงก็ต้องหาวิธีออกกำลังกายเพื่อหุ่นเฟิร์มสวย และแขนขาเพรียวงามด้วยค่ะ
วันนี้ admin นำวิธีบิหารเพื่อลดต้นแขนและต้นขามาฝากค่ะ หวังว่าคงจะถูกใจสาวๆที่ส่องกระจกแล้วคิดว่าหุ่นตัวเองยังดูตันๆใหญ่อยู่นะคะ




วิธีลดต้นแขนค่ะ

1.       บริหารต้นแขนด้านใน นั่งตรงขอบเก้าอี้ถือเวทหรือขวดน้ำที่มีขนาดพอดีมือค่ะ แล้วโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อยใช้มือซ้ายยันเข่าเพื่อพยุงตัวนะคะ ส่วนข้อศอกขวายึดไว้กับเข่าขวาด้านในยกเวทหรือขวดน้ำเข้าหาไหล่ทำสัก 20 ครั้ง สลับกันทั้งสองข้าง
2.       บริหารต้นแขนด้านนอก ยืนแยกเท้าและงอเข่าเล็กน้อย มือถือลูกบอลยกขึ้นเหนือศีรษะ งอข้อศอกและส่งลูกบอลไปด้านหลังจนจรดต้นคอ กลับสู่ท่าเริ่มต้นทำซ้ำอย่างน้อย 30 ครั้ง
3.       บริหารไหล่ มือ ซ้ายและขวาถือขวดน้ำข้างละใบไว้ที่ระดับสะโพกค่อย ๆ ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ แล้วเหวี่ยงไปข้างหลัง วนเป็นรูปวงกลมทำประมาณ 10 รอบ แล้วเปลี่ยนสลับข้าง
4.       บริหารไหล่และหลัง ยืนแยกเท้าและงอเข่าเล็กน้อยในมือทั้งสองถือพ็อคเก็ตบุ๊คข้างละ 2-3 เล่ม พักไว้ตรงหน้าขาค่อย ๆ ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นสูงถึงระดับไหล่ ชูแขนเหยียดตรงเกร็งกล้ามเนื้อพร้อมลดแขนลงช้า ๆ ทำซ้ำประมาณ 20 ครั้ง
5.       บริหารอกและแขน ตั้งเก้าอี้วางชิดผนังมือเกาะที่ขอบเก้าอี้ทรงตัวเหยียดแขนตรงยืนบนปลายเท้า จากนั้นงอศอกดึงตัวเข้าหาเก้าอี้ให้ใกล้ที่สุดแล้วยืดแขนออกทำซ้ำสัก 30 ครั้งค่ะ

วิธี ลดต้นขา ง่ายๆ 5 ขั้นตอน
1.       นอนหงายกับพื้น หาหมอนรองก้นไว้กันเจ็บด้วยนะคะ
2.       ยกขาทั้งสองขึ้น เหยียดให้ตรง ค้างไว้ 2 นาที
3.       ยังยกขาอยู่ แยกขาออกจากกัน แล้วหุบขาชิด ทำไปมา 20 ครั้ง
4.       ปั่นจักรยานกลางอากาศสัก 100 ครั้ง
5.       เปลี่ยนท่า นั่งกับพื้น เหยียดขา จากนั้นตีขาไปมากับพื้น 100 ครั้ง




สุดท้ายนี้ก็ต้องขอย้ำว่าต้องทำเป็นประจำจึงจะเห็นผลชัดเจนนะคะ 
อย่าลืมนะคะ ต้องขยันๆๆๆ ท่องไว้ค่ะ





วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

How to : ลดและเผาผลาญพลังงานให้ได้มากๆใน 1 วัน


การลดน้ำหนักของสาวๆอย่างพวกเรา  เป็นเรื่องสำคัญที่ถือเป็นเรื่องที่จำเป็นยิ่งต่อการใช้ชีวิต 
แล้วหากมีน้ำหนักเกินแล้ว จะทำให้อย่างไรเพื่อเผาผลาญไขมันส่วนเกินออกไป วันนี้ admin มีข้อแนะนำดีๆมาฝากค่ะ



1. ย่ำเท้าบ่อย ๆ
การย่ำเท้าบ่อย ๆ อาจทำให้คุณดูเหมือนคนที่กำลังกระวนกระวาย แต่วิธีการนี้ สามารถผลาญเเคลอรี่ได้ถึง 350 แคลอรี่ต่อวัน ดังนั้น ในขณะที่คุณกำลังคุยโทรศัพท์ หรือเดินไปเดินมาในบ้าน ก็ลองย่ำเท้าบ่อย ๆ ลองเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ก็จะเริ่มเห็นผลแล้ว

2. หลีกเลี่ยงการกินถั่ว
การรับประทานถั่ว โดยเฉพาะถั่วที่เสิร์ฟในชามใบโต ก็จะยิ่งทำให้คุณอ้วนมากขึ้น ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์แนล ระบุว่า แม้ถั่วจะมีผลดีต่อหัวใจ เเต่ถั่วก็มีเเคลอรี่ในปริมาณสูง ถั่วทอดแบบผสมกัน 1 กำมือมีเเคลอรี่สูงถึง 175 แคลอรี่ แต่ถ้าคุณชอบทานถั่วมาก ก็หันมาเลือกทานถั่วพิตาชิโอแทน เพราะถั่วพิตาชิโอขนาด 2 กำมือ มีปริมาณแคลอรี่เพียง 159 แคลอรี่เท่านั้น เเละการที่ถั่วมีเปลือกหนาเเละแกะยาก ก็จะช่วยให้คุณทานถั่วน้อยลงด้วย

3. อย่ากินอาหารขณะอยู่หน้าโทรทัศน์
จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเเมตซาชูเซสต์ ระบุว่า การรับประทานอาหารขณะดูโทรทัศน์ จะทำให้คุณเพิ่มเเคลอรี่เข้าไปถึง 288 แคลอรี่จากที่คุณได้รับปกติ ดังนั้น คุณควรรับประทานอาหารบนโต๊ะกินข้าวปกติ และเปลี่ยนเวลา 1 ชั่วโมงในการดูโทรทัศน์เป็นการเดินแทน นั่นจะช่วยให้คุณผลาญได้ถึง 527 แคลอรี่

4. ลดปริมาณท็อปปิ้งในสลัดถ้วยโปรด
การรับประทานสลัดชามโต ฟังดูเเล้วเหมือนจะดีต่อสุขภาพ แต่ท็อปปิ้งทั้งหลายที่ใช้ราดหน้าสลัด อาจมีเเคลอรี่มากกว่าลาซานญ่าทั้งจานเลยก็ได้ ทั้งเกล็ดชีส ถั่วเคลือบคาราเมล เบคอน ผลอะโวคาโด ผลไม้เเห้งเศษขนมปังทอด และน้ำสลัด สิ่งเหล่านี้ล้วนเเต่เพิ่มเเคลอรี่แทบทั้งสิ้นวิธีการลด 500 แคลอรี่ก็คือ ให้เลือกท็อปปิ้งเพียงอย่างเดียว และใส่ผักสุดโปรดเเต่แคลอรี่ต่ำลงไปแทน เช่น พริกหยวก หัวหอม หรือเห็ด และใส่น้ำสลัดเเค่ครึ่งเดียว

5. ใช้จานใบเล็กลง
ลองเปลี่ยนจานขนาด 12 นิ้วให้เป็นจานขนาด 10 นิ้วดูสิ แล้วคุณจะรับประทานน้อยลง 20-25 เปอร์เซ็นต์ และนั่นจะช่วยลดได้ถึง 500 แคลอรี่ โดยที่ไม่รู้สึกว่าอิ่มน้อยลง

6. งดใส่วิปครีม
ลองงดใส่วิปครีม หรือใส่น้อยลง ก็ช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ อาหารว่าง เช่น กาแฟเย็นแก้วใหญ่ที่แต่งแต้มด้วยนม วิปครีม และน้ำเชื่อมเเบบจัดเต็มนั้น อาจมีแคลอรี่สูงถึง 670 เเคลอรี่ แต่หากคุณยังติดใจวิปครีมเเบบเลิกไม่ได้ ก็ลองเอสเปรสโซ่ชอท ที่มีแคลอรี่แค่ 30 กิโลแคลอรี่ นั่นหมายความว่า คุณจะสามารถลดไปได้ถึง 640 กิโลเเคลอรี่เลยทีเดียว

7. นับชิ้นมันฝรั่งทอดและเเครกเกอร์ที่กินเข้าไป
หากคิดจะลดน้ำหนัก คุณไม่ควรรับประทานของว่าง เช่น มันฝรั่งทอดถุงโต หรือแครกเกอร์กล่องใหญ่ เพราะเมื่อทานเข้าไปแล้ว คุณจะทานเพลินจนหมด ซึ่งในมันฝรั่งทอดถุงขนาด 9 ออนซ์ มีปริมาณแคลอรี่สูงถึง 1,260 แคลอรี่ ดังนั้น ให้ลองนับมันฝรั่งชิ้นที่ทาน เช่น รับประทานเเค่ 15 ชิ้น คุณก็รับพลังงานเข้าไปเพียง 140 เเคลอรี่เท่านั้น

8. ใส่น้ำตาลในค็อกเทลให้น้อยลง
การใส่เครื่องปรุงในค็อกเทลอย่าง น้ำเชื่อม น้ำผลไม้รสหวาน หรือครีมต่าง ๆ จะทำให้เครื่องดื่มของคุณกลายเป็นของหวานได้ เช่น เครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่เรียกว่า มัดสไลด์ มีพลังงานถึง 800 เเคลอรี่ ดังนั้น เวลาสั่งเครื่องดื่ม ให้สั่งผสมเครื่องดื่มด้วยโซดา, โทนิก, น้ำเเครนเบอร์รี่, หรือบีบมะนาวลงไป จะช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้มากทีเดียว

9. ทานพาสต้าให้น้อยลง
พาสต้า 1 ถ้วยมีพลังงาน 220 แคลอรี่ แต่ปริมาณของพาสต้าในร้านอาหาร อาจมีเเคลอรี่เพิ่มมากขึ้นถึง 480 % ซึ่งหมายถึง 1,056 กิโลเเคลอรี่ ดังนั้น ถ้าออกไปทานอาหารครั้งหน้า ก็ทานพาสต้าให้น้อยลง เพราะถ้าคุณทานพาสต้าเเค่ 2 ถ้วย คุณก็จะรับแคลอรี่ไปเพียง 440 กิโลเเคลอรี่เท่านั้น

10. อาหารค่ำมื้อไหน ๆ ก็ไม่ต้องเชิญแขกมาเยอะ
รู้ไหมว่า การรับประทานอาหารค่ำกับเพื่อน ๆ ตั้งเเต่ 7 คนหรือมากกว่านั้น จะทำให้คุณรับประทานอาหารมากขึ้น 96 เปอร์เซ็นต์เชียวนะ ซึ่งนั่นเท่ากับว่า คุณรับประทานอาหารค่ำถึง 2 มื้อเลยทีเดียว ดังนั้น รับประทานอาหารค่ำกับเเขกน้อย ๆ จะช่วยให้คุณผลาญไปได้ 500 กิโลเเคลอรี่ หรือมากกว่านั้น

11. อย่าทานอาหารจนหมดจาน
เวลาทานอาหาร ให้เหลืออาหารไว้ประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ในทุกมื้ออาหาร โดยเอาอาหารส่วนที่เหลือเก็บไว้ทานในมื้อต่อไป เพราะถ้าปกติ คุณทานอาหารและได้รับพลังงานถึง 2,000 กิโลเเคลอรี่ การเหลืออาหารไว้บนจาน จะช่วยลดให้คุณได้ถึง 500 เเคลอรี่ต่อวันเลยทีเดียว

12. ทานของหวานคำเล็ก
เมื่อเปิดเมนูอาหาร ให้เลือกทานของหวานชิ้นเล็ก ๆ เช่น ช็อกโกแลตชิ้นเล็ก ขนมหวานถ้วยเล็ก นั่นจะช่วยเลี่ยงเเคลอรี่และคุณยังอิ่มท้องกับของหวานสุดโปรดได้

13. เลิกดื่มน้ำปั่นแบบสมูธตี้
ในเวลาที่เร่งรีบ หลายคนอาจเลือกทานน้ำปั่นสมูธตี้รองท้อง ซึ่งน้ำปั่นแบบสมูธตี้ขนาด 32 ออนซ์ อาจมีเเคลอรี่ถึง 800 เเคลอรี่หรือมากกว่านั้น นั่นจะทำให้น้ำหนักของคุณเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคนที่กินอาหารเช้าแบบเร่งรีบ ดังนั้น หากครั้งหน้าคุณต้องทานอาหารเช้าเเบบเร่งรีบเเล้ว ก็ลองทานข้าวโอ๊ตใส่น้ำตาลทรายเเดง และกล้วยแผ่นบาง รวมไปถึงกาแฟซักถ้วย นั่นจะทำให้คุณลดไปได้ถึง 518 แคลอรี่

14. ระวังอาหารที่มีน้ำมันผสม
เวลาที่ไปรับประทานอาหารนอกบ้าน อย่าลืมกำชับว่า ให้ปรุงอาหารของคุณด้วยน้ำสต็อกแทนที่จะใช้น้ำมัน หรือสั่งอาหารที่ปรุงโดยการอบหรือเคี่ยว ก็จะทำให้คุณไม่ต้องรับเเคลอรี่ถึง 124 แคลอรี่ต่อน้ำมัน 1 ช้อนโต๊ะ

15. นอนหลับให้เพียงพอ
การนอนหลับไม่เพียงพอจะทำให้คุณหิว ซึ่งผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิคาโก ระบุว่า ผู้ที่นอนประมาณ 5 ชั่วโมงครึ่งต่อวัน มักจะทานอาหารว่างมากกว่าคนอื่นในระหว่างวัน

16. เลิกดื่มน้ำอัดลม
น้ำอัดลมขนาด 120 ออนซ์ มีปริมาณแคลอรี่สูงถึง 150-180 แคลอรี่ หมายความว่า หากคุณดื่มน้ำอัดลม 2-3 กระป๋องต่อวัน คุณก็จะยิ่งได้รับเเคลอรี่มากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น บังคับตัวเองให้ดื่มน้ำเปล่าเวลากระหาย จะช่วยให้คุณไม่ต้องรับเเคลอรี่มากถึง 540 แคลอรี่ต่อวัน

17.ทานไข่ต้มตอนเช้า ทานซุปตอนเที่ยง
ในตอนเช้า ลองทานไข่ต้ม 2 ฟองควบคู่กับอาหารเช้าปกติ จะทำให้คุณอิ่มเร็วขึ้น และกินน้อยลง 416 เเคลอรี่ต่อ 1 วัน หรือก่อนที่จะรับประทานอาหารเที่ยง ให้ลองทานซุปแคลอรี่ต่ำ 1 ถ้วย นั่นจะทำให้คุณทานน้อยลง 134 แคลอรี่ต่อมื้อ และหากนำมารวมกันเเล้ว คุณจะลดน้ำหนักได้ถึง 684 กิโลเเคลอรี่ต่อวันเลยทีเดียว

18. เลิกกินป๊อปคอร์นขณะดูหนัง
ใช่เเล้ว เพราะป๊อปคอร์นถังใหญ่ ๆ ที่ขายตรงซุ้มของว่างหน้าโรงภาพยนตร์นั้น มีปริมาณแคลอรี่สูงถึง 1,005 แคลอรี่ แต่หากติดเป็นนิสัยจริง ๆ ก็ลองทำป๊อปคอร์นไปทานเอง อาจเป็นป๊อปคอร์นอบไมโครเวฟ ซึ่งไม่มีไขมันถึง 94% นั่นจะช่วยทำให้คุณรับเเคลอรี่น้อยลงถึง 700 เเคลอรี่

19. กินแต่พอดี
หากคุณรู้สึกว่ารับประทานอาหารอิ่มเเล้ว ให้วางช้อนส้อมลงเสีย เพราะนั่นคือการที่คุณรับฟังเสียงเรียกร้องของร่างกาย เเทนที่จะพยายามทานอาหารให้หมดจาน ซึ่งการทำแบบนี้ จะช่วยลดไปได้ 500 แคลอรี่

20. กินไอศกรีมก้อนเล็ก
แม้ว่าคุณจะชื่นชอบไอศกรีมมากขนาดไหน เเต่การกินไอศกรีมก้อนใหญ่ ๆ ก็ไม่ดีแน่ ๆ ดังนั้น ให้เลือกทานไอศกรีมรสโปรดก้อนเล็ก เพราะหากคุณสั่งไอศกรีมขนาด 5 ออนซ์ แทน 12 ออนซ์ คุณก็จะสามารถลดเเคลอรี่ได้ถึง 550 แคลอรี่



ขอขอบคุณ : http://www.dekying.com/